ปัจจุบันโรคทางเดินหายใจและโรคภูมิแพ้ หอบหืด และภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคที่พบมากของประเทศไทยโดยเฉพาะประชาชนในเขตเมือง เนื่องจากมลภาวะทางอากาศที่เปลี่ยนไปด้วยควันพิษและฝุ่นละออง และสารกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ น้ำมูกไหล ไอ จาม จนมีอาการเรื้อรังในที่สุด ทำให้ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ allergen จากสิ่งแวดล้อมซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียกว่า IgE antibody ตัว antibody นี้จะกระตุ้น Mast cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ อาการแสดงจะเกิดตามอวัยวะต่างๆ เช่นลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูก แน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืด บางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ Anaphylaxis shock
เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ allergen จากสิ่งแวดล้อมซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียกว่า IgE antibody ตัว antibody นี้จะกระตุ้น Mast cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ อาการแสดงจะเกิดตามอวัยวะต่างๆ เช่นลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูก แน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืด บางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ Anaphylaxis shock
|
Creditภาพและบทความจาก
http://health.kapook.com/view2849.html
การกวาซารักษาภูมิแพ้
เป็นการรักษาโดยนำองค์ความรู้ทางด้านการกวาซา ร่วมกับความรู้ทางกายวิภาค รักษาด้วยแพทย์ทางเลือกที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน ว่าสามารถช่วยกระตุ้นให้ร่ายกายสร้างระบบภูมิคุ้มกัน Antibody ให้เป็นปกติเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค เป็นวิธีการรักษาแบบธรรมชาติ โดยไม่ใช้ยาปฎิชีวนะ ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อปฏิกิริยาของโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ allergen จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติระยะเวลาการรักษา
การรักษาถูกกำหนด ขึ้นเป็นเวลาต่อเนื่อง 12 ครั้ง โดยผู้ป่วยควรมารักษาติดต่อกันสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นเว้นทุก 2 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นAntibodyของร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ โดยผู้ป่วยสามารถเรียนรู้การทำกวาซาได้ด้วยตนเองหลังการรักษา เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่ารักษา
ภาพจากการรักษาจริง
เคสนี้ ลูกค้าทำงานofficeที่นิคมอุตสาหกรรมแถวชลบุรี อากาศโดยทั่วไปไม่ค่อยสะอาด
มีอาการแพ้อากาศ เป็นหวัดน้ำมูกไหลเป็นประจำ รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง และปวดหลัง ปวดขาร่วมด้วย (เพราะขับรถเยอะ)
รูป1# สีของเสียที่ถูกขับออกมาบริเวณปอด/หลังเยอะมากค่ะ
สังเกตุ1....เชื่อไหมคะ...สีแดงเข้มเป็นพิเศษ เพราะทานVitCแก้หวัดเป็นประจำมา6เดือน
แต่คิดว่าร่างกายน่าจะดูดซึมVitCได้น้อย เมื่อทำกวาซาจึงถูกขับออกมาในรูปของเสียสีแดงออกส้มชัดเจนมาก
สังเกตุ2....คนที่ทานน้ำน้อย สีแดงของของเสียจะถูกขับออกมาเป็นชั้นๆเป็นคลื่นๆลายๆ
สังเกตุ3....สีแดงๆบนหัวไหล่ ทำให้ทราบว่า ปวดแขนด้วย
สังเกตุ4....สีแดงเข้มออกดำทั่วหลัง บ่งบอกว่าปวดหลัง และปวดเนื้อเมื่อยตัว อ่อนเพลียเพราะเลือดเป็นกรด
รูปที่2 ทำกัวซาครั้งที่2 บริเวณหน้าอก(ปอด)ที่เดียวกัน แต่ครั้งนี้สีลดลงมาก
โดยเฉพาะสีที่หลัง แค่ครั้งที่2แต่ของเสียแทบไม่เหลือแล้ว เพราะมีการปรับพฤติกรรมทานน้ำเยอะขึ้น
ร่างกายของน้องเค้ารักษาตัวเองได้ดีค่ะ (เพราะอายุยังน้อยและมีการปรับพฤติกรรมตามที่แนะนำ)
ลูกค้าแจ้งว่ารู้สึกสดชื่นเบาโล่งตัวขึ้น น้ำมูกลดลง อาการบางอย่างยังมีอยุ่เพราะเพิ่งได้ทำกวาซาแค่2ครั้ง
ภาพชัดๆสำหรับสีของภูมิที่จะปรากฎจากการทำกัวซา
ข้อมูลเพิ่มเติม
คนเราเป็นภูมิแพ้ได้อย่างไร??
http://health.kapook.com/view2849.html
การกวาซารักษาภูมิแพ้
เป็นการรักษาโดยนำองค์ความรู้ทางด้านการกวาซา ร่วมกับความรู้ทางกายวิภาค รักษาด้วยแพทย์ทางเลือกที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน ว่าสามารถช่วยกระตุ้นให้ร่ายกายสร้างระบบภูมิคุ้มกัน Antibody ให้เป็นปกติเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค เป็นวิธีการรักษาแบบธรรมชาติ โดยไม่ใช้ยาปฎิชีวนะ ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อปฏิกิริยาของโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ allergen จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติระยะเวลาการรักษา
การรักษาถูกกำหนด ขึ้นเป็นเวลาต่อเนื่อง 12 ครั้ง โดยผู้ป่วยควรมารักษาติดต่อกันสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นเว้นทุก 2 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นAntibodyของร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ โดยผู้ป่วยสามารถเรียนรู้การทำกวาซาได้ด้วยตนเองหลังการรักษา เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่ารักษา
ภาพจากการรักษาจริง
เคสนี้ ลูกค้าทำงานofficeที่นิคมอุตสาหกรรมแถวชลบุรี อากาศโดยทั่วไปไม่ค่อยสะอาด
มีอาการแพ้อากาศ เป็นหวัดน้ำมูกไหลเป็นประจำ รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง และปวดหลัง ปวดขาร่วมด้วย (เพราะขับรถเยอะ)
รูป1# สีของเสียที่ถูกขับออกมาบริเวณปอด/หลังเยอะมากค่ะ
สังเกตุ1....เชื่อไหมคะ...สีแดงเข้มเป็นพิเศษ เพราะทานVitCแก้หวัดเป็นประจำมา6เดือน
แต่คิดว่าร่างกายน่าจะดูดซึมVitCได้น้อย เมื่อทำกวาซาจึงถูกขับออกมาในรูปของเสียสีแดงออกส้มชัดเจนมาก
สังเกตุ2....คนที่ทานน้ำน้อย สีแดงของของเสียจะถูกขับออกมาเป็นชั้นๆเป็นคลื่นๆลายๆ
สังเกตุ3....สีแดงๆบนหัวไหล่ ทำให้ทราบว่า ปวดแขนด้วย
สังเกตุ4....สีแดงเข้มออกดำทั่วหลัง บ่งบอกว่าปวดหลัง และปวดเนื้อเมื่อยตัว อ่อนเพลียเพราะเลือดเป็นกรด
รูปที่2 ทำกัวซาครั้งที่2 บริเวณหน้าอก(ปอด)ที่เดียวกัน แต่ครั้งนี้สีลดลงมาก
โดยเฉพาะสีที่หลัง แค่ครั้งที่2แต่ของเสียแทบไม่เหลือแล้ว เพราะมีการปรับพฤติกรรมทานน้ำเยอะขึ้น
ร่างกายของน้องเค้ารักษาตัวเองได้ดีค่ะ (เพราะอายุยังน้อยและมีการปรับพฤติกรรมตามที่แนะนำ)
ลูกค้าแจ้งว่ารู้สึกสดชื่นเบาโล่งตัวขึ้น น้ำมูกลดลง อาการบางอย่างยังมีอยุ่เพราะเพิ่งได้ทำกวาซาแค่2ครั้ง
ข้อมูลเพิ่มเติม
คนเราเป็นภูมิแพ้ได้อย่างไร??
เนื่องจากเกิดโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากจึงได้มีการวิจัยหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้
- กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นพ่อแม่ พี่น้อง ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย เด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เด็กจะเป็นภูมิแพ้ได้ร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้เด็กจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 50-60
- สิ่งแวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกสำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์ การใช้ยาปฏิชีวนะ การรับประทานอาหารสำเร็จรูป เหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้
- การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก การที่มีเชื้อ lactobacillus ในลำไส้หรือการอาศัยใกล้ฟาร์มสัตว์จะลดอุบัติการณ์ของภูมิแพ้
การหลีกเลี่ยงหรือนำสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ออกจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเป็นการรักษาที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะทำให้ลดอาการของโรคภูมิแพ้และลดปริมาณการใช้ยา
ทำไมคนในเมืองถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นพบว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง
ทำไมคนในเมืองถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นพบว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง
- คนในเมืองอยู่บ้านมาก ติดเครื่องปรับอากาศ ไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
- เด็กกินนมแม่น้อยลง ผู้คนรับประทานอาหารจานด่วนมาก ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามามาก เช่น สี สารกันบูด
- คนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านเพิ่ม
- การตกแต่งบ้าน ติดตั้งพรมและติดเครื่องปรับอากาศทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี เชื้อไรฝุ่นเจริญได้ดี
- มลภาวะจากอุตสาหกรรม และการจราจร
- การสูบบุหรี่
สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในบ้าน
สารก่อโรคภูมิแพ้ในบ้านจะพบได้ตลอดปีและเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคภูมิแพ้ คัดจมูก โรคหอบหืด ผื่นแพ้ eczema สารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่สำคัญได้แก่
- ไรฝุ่นพบมากบนที่นอน โซฟา
- สะเก็ดรังแคสัตว์ ขนสัตว์ น้ำลาย และเหงื่อของสัตว์เลี้ยง
- ขนนก ของเสียแมลงสาบ รา
วิธีป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน
- เปิดหน้าต่างให้เกิดการถ่ายเทของอากาศ โดยเฉพาะห้องครัว ห้องน้ำโดยเปิดหน้าต่างอย่างน้อยครั้งละ 1 ชั่วโมงเปิดวันละสองครั้งหากแพ้เกสรควรปิดหน้าต่างโดยเฉพาะช่วงที่มีเกสรดอกไม้มาก
- ไม่ควรตากผ้าในห้องนอนและห้องนั่งแล่น
- ถ้าห้องมีความชื้นมากให้เปิดให้อาการถ่ายเทให้มาก
การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
- ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนไว้ในบ้านโดยเฉพาะในห้องนอน
- ไม่ควรตกแต่งห้องนอนด้วยพรม หรือมีตุกตา มั่นเช็ดฝุ่นบ่อยๆ
- ห้องนอนไม่ควรจะมีชั้น หรือหนังสือ
- เครื่องนอนควรจะซักและต้มสัปดาห์ละครั้ง
- งดบุหรี่ หรือทาสีในบ้าน
- หมั่นทำความสะอาด และดูดฝุ่นบ้านและม่านกันแดด
- กำจัดเศษอาหารให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลงสาบ
No comments:
Post a Comment